บทความทั่วไป

คำสอนของปรมาจารย์ขงจื๊อ
             บทความที่นำเสนอสรุปประเด็นจากหนังสือเรื่อง The Essential Confucius แต่งโดย Thomas Cleary ว่าด้วยเรื่องคำสอนของปรมาจารย์ขงจื๊อเกี่ยวกับคุณธรรมที่ควรปลูกฝังไว้จิตใจมนุษย์มีประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้




1. ความรักและเคารพเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
           ความรักและเคารพต่อ เพื่อนมนุษย์ด้วยกันในมุมมองของขงจื๊อคือ การเคารพและให้เกียรติมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ นอกจากนั้น ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีคุณธรรมจะต้องมีความยุติธรรม ตรงไปตรงมา และมีมารยาทสังคม รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่มีการเล่นเส้นเล่นสาย ตัดสินทุกอย่างบนพื้นฐานของความถูกต้อง และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม คุณธรรมความดีดังกล่าวจะไม่ช่วยสร้างประโยชน์อันใดมากนักหากผู้ที่มีคุณธรรม ไร้ซึ่งความรู้ความสามารถและความใฝ่ใจในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ในมุมมองของขงจื๊อ คุณธรรมความดีและความรู้ความสามารถเป็นสิ่งที่ต้องมีควบคู่กันไป 
 2.คุณธรรมเพื่อยกระดับคุณภาพจิตใจ
       1.จงอย่ากังวลว่าคนอื่นจะไม่รู้จักเรา แต่ให้กังวลว่า ตัวเรามีคุณค่าเพียงพอแล้วหรือยังที่จะให้คนอื่นรู้จัก
       2.คนที่มีความละโมบ และกระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา ยากที่จะมีความสงบและความมั่นคงในจิตใจความกังวลสับสนและความเคร่ง เครียด จะทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่สามารถขบคิดแก้ไขปัญหาได้ และส่งผลให้กิริยาที่แสดงออกมามีแต่ความเกรี้ยวกราดและรุนแรง ทำให้ลูกน้องหมดศรัทธา และไม่อยากจะร่วมงานด้วย ดังนั้น ขงจื๊อจึงสอนว่า เราควรประคับประคองจิตใจให้มีความสงบและสบาย เมื่อใจสบาย กิริยาและคำพูดที่แสดงออกมาก็จะน่าฟัง และน่าเชื่อถือ
       3.คนที่ไม่รู้จักวางแผนระยะยาว จะรู้สึกอึดอัดและกังวลต่อสิ่งที่กำลังทำอยู่เสมอ การตั้งใจ ทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่รู้ตัวว่า กำลังทำอะไร ทำไปเพื่ออะไร ผลที่ตามมาคืออะไร และที่สำคัญคือ สิ่งที่เราทำอยู่นี้เป็นสิ่งที่เราต้องการทำจริงหรือ หรือทำไปเพื่ออยู่ไปวันหนึ่ง ๆ การทำงานอย่างไร้เป้าหมายในชีวิต นอกจากจะสร้างความอึดอัดและเคร่งเครียดแล้ว ยังจะเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้น เราควรสร้างมโนภาพเกี่ยวกับแผนที่ชีวิตของตนเองเสียตั้งแต่ต้น
      4.คนที่หมั่นศึกษาหาความรู้โดยการท่องตำราแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่นำความรู้ไปทบทวนหรือนำไปปฏิบัติเปรียบได้กับ “เต่าแบกคัมภีร์หรือตาบอดคลำทาง” ในขณะเดียวกัน คนที่ชอบแสดงความคิดเห็นอยู่ตลอดเวลาโดยไม่สนใจข้อเท็จจริงใด ๆ เปรียบได้กับคนตาเป็นต้อ ฉะนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือ การหมั่นศึกษา หาความรู้และนำความรู้เหล่านั้นมาทบทวนพิจารณา และนำมาปรับประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน
     5.คนที่มีคุณธรรมจะไม่พูดจาเกินจากสิ่งที่ตนเองทำได้ เพราะคนที่มีคุณธรรมจะต้องมีปากกับใจตรงกัน
     6.แม้ว่าคุณจะเป็นคนดีมีความสามารถปานใด ความอวดดีหรือความตระหนี่ถี่เหนียว จะทำให้คุณเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการคบหาสมาคมด้วย
     7.จงอย่าสนใจว่าคนอื่นจะมีชื่อเสียงและเกียรติยศมากน้อยเพียงใด แต่ให้สนใจว่าตัวเราเองยังขาด     คุณสมบัติในด้านใดบ้างที่ยังต้องปรับปรุงแก้ไข
    8.จงอย่ากังวลว่าทำไมผู้อื่นจึงไม่เข้าใจเรา แต่ให้กังวลว่าทำไมเราจึงไม่เข้าใจผู้อื่น
    9.การก้มหน้ายอมรับชะตากรรมว่าเราเกิดมายากจน เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายกว่าการถ่อมตัวและฝืนใจที่จะไม่โอ้อวดความร่ำรวยของตน เอง ธรรมชาติของมนุษย์เมื่อมีความร่ำรวยหรือมีสิ่งที่ เหนือกว่าผู้อื่น มักชอบโอ้อวดและประกาศศักดาของตัวเอง พฤติกรรมเช่นนี้ย่อมเป็นการนำภัยมาสู่ตนเองโดยไม่รู้ตัว ขงจื๊อจึงสอนว่า เมื่อร่ำรวยแล้วไม่ควรอวดตัว แต่ให้มีความสำรวม สมถะ และมีความพอเพียง
    10.สิ่งที่สำคัญที่สุดของความเป็นมนุษย์คือ ความซื่อตรงและซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น
    11.จงอย่าสุงสิงกับคนที่มีคุณภาพจิตต่ำกว่าเรา และจงอย่าลังเลที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเอง เพราะความ คิด คำพูด และการกระทำของอีกฝ่ายย่อมกระทบกระเทือนจิตใจเราอย่างที่หลีกเลี่ยงเสียไม่ ได้
    12.จงอย่าใส่ใจกับเรื่องความรวดเร็วและอย่าสนใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะ ยิ่งสนใจเรื่องความรวดเร็วเท่าไร เรายิ่งห่างไกลจากความเป็นจริง และถ้าเราสนใจเรื่องเล็กน้อย จะทำให้ทำการใหญ่ยาก เพราะคนที่มีจิตใจจะคับแคบ ย่อมไม่สามารถดึงดูดผู้คนมาช่วยเหลือให้การสนับสนุนได้
  
    1.มันเป็นการป่วยการที่จะทำงานเช้าจรดเย็น จนสุขภาพร่างกายทรุดโทรม ควรแบ่งเวลาไปใฝ่หาความรู้เพื่อพัฒนาจิตและคุณภาพชีวิตจะดีกว่า
    2.ผู้ที่ต้องการยกระดับคุณภาพจิตใจพึงตระหนักถึงระเบียบวินัย 3 ประการ ดังนี้
         1.ช่วงวัยรุ่น เป็นช่วงที่มีวินัยในเรื่องกามคุณ ไม่ควรหมกมุ่นในเรื่องกามารมณ์ แต่ควรทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อวางรากฐานชีวิตโดยการใฝ่หาความรู้จะดีกว่า
         2.ช่วงวัยกลางคน ให้ระมัดระวังเรื่องการทะเลาะกับผู้อื่น
         3.วัยชรา ให้รู้จักคำว่า “พอ”

    1.ผู้ที่ยิ่งใหญ่ทุกคนจะต้องมีช่วงที่ประสบปัญหาในชีวิตบ้าง แต่พวกที่จิตใจคับแคบเท่านั้น จึงจะขาดสติและเสียศูนย์เมื่อประสบกับปัญหาดังกล่าว
  2.การบริหารคนและการเข้าสังคม
         1.จงเป็นผู้ฟังที่ดี และให้ฟังหูไว้หู จงอย่าตัดสินคนจากคำพูด แต่ให้พิจารณาจากการ กระทำว่า มันสอดคล้องกับสิ่งที่เขาพูดหรือไม่ และที่สำคัญคือ สิ่งที่เขาพูดนั้น พูดไปเพื่อจุดประสงค์อะไร มีอะไรแอบแฝงอยู่หรือไม่
         2.หากจะมอบหมายงาน ให้สร้างมโนภาพว่าเราเป็นแม่งาน และให้มอบหมายงานตามความถนัดของแต่ละคน
         3.“คนที่อยากให้คนเคารพ แต่ไม่รู้จักการวางตัว ดูแล้วน่าเบื่อ
     คน ระวังตลอดเวลา พูดจาโผงผาง ดูแล้วน่ากลัว
     คน ที่กล้าหาญ โดยไม่สนใจเรื่องกิริยามารยาท ดูแล้วป่าเถื่อน
     คน ที่ตรงไปตรงมา ขวานผ่าซากโดยไม่สนใจคนรอบข้าง เหมือนกับการแขวนคอตัวเอง”
            ฉะนั้น เราจึงควรทำตัวให้ถูกต้องตามกาละเทศะ
         4. “คนที่มีคุณธรรมมักจะมีอะไรพูดอยู่เสมอ แต่คนที่พูดอยู่เสมอไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรม คนที่มีจิตใจเมตตากรุณา ชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จะมีจิตใจกล้าหาญเข้มแข็ง แต่คนที่มีจิตใจกล้าหาญเข้มแข็งไม่จำเป็นว่า เขาจะต้องเป็นคนที่มีจิตใจรักเพื่อนมนุษย์เสมอไป”
         5.คนที่มีการศึกษาสูงไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีคุณธรรม และคนที่จิตใจคับแคบยากที่จะมีคุณธรรม           
         6.หากเราคบคนที่ไม่มีสติสัมปชัญญะรู้เนื้อรู้ตัวอยู่เสมอ เราก็จะกลายเป็นคนก้าวร้าวและมีแต่ความลังเลสงสัยไม่แน่ใจตามไปด้วย
         7.ผู้ที่มีคุณธรรมง่ายที่ทำงานด้วย แต่ยากที่จะประจบเอาใจ หากเราพยายามเอาใจอย่างผิดวิธีแล้วล่ะก็ คนที่มีคุณธรรมจะไม่ชอบหน้าเรา เพราะคนเหล่านี้จะใช้คนตามความสามารถ และในทางกลับกัน คนที่มีจิตใจคับแคบยากที่จะทำงานด้วย แต่เอาใจง่ายมาก และแม้ว่าเราจะเอาใจอย่างผิด ๆ เขาก็ยังชอบเรา เพราะคนจำพวกนี้คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

“ทวิยุทธศาสตร์” พัฒนาประเทศ

                    วันนี้ (11 มี.ค.) ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า บรรยายพิเศษ เรื่อง “การพัฒนางานวิจัยของประเทศกับบทบาทของสภาวิจัยแห่งชาติในอนาคต” ในเวทีประชุมกรรมการบริหารและกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ (วช.) ณ ห้องเมจิก2 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ โดยกล่าวถึงบทบาทของวช.ต่อการพัฒนาประเทศในอนาคตว่า ตั้งแต่มีการแถลงตั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ วช.ไม่เคยมีบทบาทชัดเจนในเรื่องของการร่วมวางยุทธศาสตร์พัฒนาชาติมากนัก เนื่องจากตลอดมาสภาพัฒน์ฯ มักจะวางแผนกันเองมากกว่า
               ศ.ดร.บวรศักดิ์ กล่าวถึงการพัฒนาประเทศไทยตลอด 40 ปีที่ผ่านมาว่า มีช่องว่างรายได้ระหว่างคนจนกับคนรวยอย่างชัดเจน กลุ่มคนระดับ 20% บนของคนทั้งประเทศถือครองทรัพย์สิน (Private Ownership) 69% ของประเทศ ขณะที่คนจนกลุ่มระดับ 10-20% สุดท้ายของประเทศถือครองทรัพย์สินเพียง 1% และพบว่ามีเพียง 11 ตระกูลดังในประเทศที่ผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าของหุ้นที่มีมูลค่าในตลาดซื้อขาย ภาวะการกระจายรายได้ที่ไม่สมดุลนี้นำไปสู่ความขัดแย้งเหลืองแดงในปัจุจบัน
                 หากวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งไม่ใช่เป็นเพียงปัญหาความขัดแย้งระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับกลุ่มต่อต้านเท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งปัญหานี้ แท้จริงแล้วฐานปัญหานี้ คือ ความมั่งมีของคนรวยในระดับกลางและระดับบนของประเทศ กับความไม่มีของคนจนในระดับล่าง ความเครียดทางชนชั้นนี้เกิดจากคนที่มีฐานะด้อยกว่าทางเศรษฐกิจ การศึกษา และสังคมมีความรู้สึกด้อยกว่าในการดำรงชีพ เพราะฉะนั้นลักษณะการพัฒนาประเทศที่ไม่สมดุลแบบนี้มีโดยตรงต่อปัญหาความขัดแย้งทางชนชั้นขณะนี้"
                   สำหรับแนวทางในการพัฒนาประเทศอย่างสมดุลนั้น ดร.บวรศักดิ์ กล่าวว่า ต้องเริ่มจาการปฏิรูประบบการจัดสรรผลประโยชน์และจัดสรรอำนาจในสังคมใหม่ โดยสร้างการพัฒนาประเทศด้วย “ทวิยุทธศาสตร์” คือ ยุทธศาสตร์แรกต้องคงไว้ซึ่ง "การพัฒนาประเทศแบบโลกาภิวัตน์พัฒนา” คือ จะสนับสนุนเฉพาะคนที่เชื่อมกับเศรษฐกิจโลกภายนอกได้อย่างเดียว เพื่อจะสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างเดียวโดยไม่สนใจคนจน ผู้ผลิตขนาดกลางหรือขนาดย่อม เพราะไทยไม่สามารถถอยหลังกลับได้และรัฐก็ทุ่มมาทางนี้ตลอด เว้นแต่การต้องเตรียมพร้อมสำหรับรองรับความเปลี่ยนแปลงอาเซียนใน 5 ปีข้างหน้า
                  ดร.บวรศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่า เราต้องมียุทธศาสตร์ที่สอง “ยุทธศาสตร์ชุมชนท้องถิ่นพัฒนา” ต้องช่วยเหลือคนจนและธุรกิจขนาดย่อม ซึ่งรัฐไม่เคยให้ความสนใจเลยตลอด 50 ปีที่ผ่านมา และต้องไม่ใช่วิธีการแบบประชานิยมที่ทำกันอยู่เพราะจะไปไม่รอด ต้องทำให้ประชานิยมกลายเป็นรัฐสวัสดิการ ควรต้องเขียนรัฐธรรมนูญ กฎหมายใส่เรื่องความช่วยเหลือแก่คนจนว่าต้องเป็นพื้นฐานบังคับที่สังคมไทยต้องช่วยเหลือ เช่น การศึกษา สาธารณสุข ฯลฯ รวมถึงต้องมีการปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีของประเทศทั้งหมด สังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คนทำงานต้องแบกรับภาระเสียภาษีดูแลกลุ่มใหญ่ของประเทศส่วนนี้ ใน 50 ปีข้างหน้าหากไม่วางแผนระบบสวัสดิการที่ดีและไม่จัดหารายได้อย่างดี ประเทศไทยก็จะไม่มีทางไปต่อไป ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความรู้จากทุกฝ่าย สังคมไทยต้องเตรียมความรู้ไว้ให้พร้อม เพราะเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี
                  เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงบทบาทของวช.ในอนาคตต่อการพัฒนาประเทศ ว่า ควรส่งเสริมยุทธศาสตร์ชุมชนท้องถิ่นพัฒนาที่เน้นคนจน คนด้อยโอกาส ธุรกิจขนาดย่อม จากนี้วช.ควรจะต้องส่งเสริมการวิจัยในระดับจุลภาคไม่มุ่งเพียงระดับมหภาค ต้องส่งเสริมการวิจัยที่จะทำให้ชาวบ้านและชุมชนท้องถิ่นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขี้น เช่น ส่งเสริมการพัฒนาบรรจุภัณฑ์สินค้าชุมชน พัฒนาการตลาดของชุมชนให้เข้มแข็ง เป็นต้น ซึ่งมีหลายอย่างที่สามารถทำได้และต้องทำอีกมากส่วนข้อเสนอประกอบด้วย 1.วช.ต้องมีระบบฐานข้อมูลกลางในการจดทะเบียนงานวิจัย ต้องกำหนดให้งานวิจัยทุกชนิดมาจดทะเบียนที่วช. เพื่อไม่ให้เกิดงานวิจัยและการลงทุนงานวิจัยที่ซ้ำซ้อน 2.วช.ต้องสร้างงานวิจัยที่เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และพัฒนาการเผยแพร่ผลงานเพื่อนำไปใช้จริงไม่ใช่เพียงวิจัยขึ้นหิ้ง ต้องเน้นการส่งเสริมการจดสิทธิบัตรงานวิจัยเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดช่วยเหลือชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้งานวิจัยต่างๆ เกิดประโยชน์ด้วย และ 3.วช.ต้องสร้างเครือข่ายประสานงานเรื่องการวิจัยให้กว้างขึ้นกว่าที่มีเพียงวช. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สรวส.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ต้องมุ่งสร้างเครือข่ายกับภาคราชการ กระทรวง ทบวง กรม มหาวิทยาลัยต่างๆ เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่วช.จะแบกรับเรื่องใหญ่ของชาติเพียงฝ่ายเดียวต้องช่วยกันทุกศาสตร์ และวช.ต้องทำให้สังคมรู้ว่า วช.มีบทบาทสำคัญต่อสังคมไทยอย่างไรบ้างส่วนประเด็นการกระจายรายได้ด้วยวิธีการประชานิยมที่พรรคการเมืองทุกพรรคนิยมใช้ในการหาเสียงนั้น เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า นโยบายประชานิยมเป็นตัวทำลายเศรษฐกิจแบบตลาดเพราะทำให้คนงอมือเท้าไม่ช่วยตัวเอง รอรับและขออย่างเดียว ขณะเดียวกันก็มีเจตนาเป็นการซื้อเสียงด้วยการใช้อำนาจเงินที่เหนือกว่าซื้อคนที่ต่ำกว่า วิธีการประชานิยมแบบนี้เป็นการรักษาระบบอุปถัมภ์ในลักษณะความสัมพันธ์แนวตั้งระหว่างอำนาจทุนกับคนจน และเป็นวิธีการที่นำเงินอนาคตของประเทศมาใช้ก่อนและเป็นการผลักหนี้สินให้ลูกหลานในอนาคตรับ ซึ่งการที่จะเปลี่ยนแปลงได้ต้องไปสู่การเมืองแบบประชาธิปไตย และทำให้เกิดความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการนำรัฐสวัสดิการเข้ามาด้านศ.ดร.ธีระ สูตะบุตร ประธานกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า เป้าหมายที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ ต้องทำให้ประชาชนเห็นความชัดเจนของสภาวิจัยแห่งชาติที่เป็นที่พึ่งและความหวังของสังคมให้ได้ ส่วนเรื่องของยุทธศาสตร์ชุมชนท้องถิ่พัฒนานั้น วช.ก็ดำเนินการอยู่ซึ่งจะสนับสนุนส่งเสริมให้ยิ่งขึ้น
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ่านให้ได้นะ........ดีมากๆๆๆๆๆๆ

ปริญญาสองใบ...น่าอ่าน

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ

ของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

"ผมขโมยเองครับ"

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด

จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้

และด่าว่าน้องชายของฉัน

" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน

ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ

ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

" ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

แต่ในขณะเดียวกัน

ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน

ขณะฉันกำลังหลับ

" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

ฉันนั่งอยู่บนเตียง

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง

ฉันถามเขาว่า

"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

"ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง

เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า

"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่า

หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

" แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"

ฉันถาม

"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ

และ..."

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา

น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

"เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว

ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขาบอกกับฉันว่า

"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท...

แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้องว่า

"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง

ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ"

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

"ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...



จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ

วันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

จบบริบูรณ์....

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

"ซัมซุง"

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ

บู มิง ฮอง

เล่าเรื่อง



     ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร มาเรียนที่อเมริกา เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู ว่าสะอาดจริงมั้ย กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย ต้องให้ดีที่สุดเวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ แกเสนอแผนที่สอง แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม ใครไปดีลงานกับแกติดทุกรายแกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจ มีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง
      วันหนึ่งแกพักผ่อน หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย ลุกเมียไปขอพบ บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป ภรรยาพาเข้าโรงบาล ตรวจพบมะเร็ง พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย จริง ๆ เค้าก็เตือนตลอด แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้ แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน บันทึกชีวิตแก ก่อนจะเสียชีวิต แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่ กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ ปริญญาใบที่หนึ่ง ' ปริญญาวิชาชีพ ' เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น พูดง่าย ๆ ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ แต่ ' ปริญญาวิชาชีวิต ' ปริญญาใบที่สอง ' ปริญญาวิชาชีวิต ' คือวิชาธรรมะ สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้ แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก เพราะอะไร เพราะทำงานจนป่วยตาย ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง บ้าน รถ มอบมันให้กับลูกและภรรยา แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้ สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย นี่คือปริญญาวิชาชีวิต ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี
       ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเอง ดูจิต ดูใจตัวเอง ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์ มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ เกินไปหรือเปล่า พยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ เพื่อที่ว่าอะไร เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต หนึ่งปริญญาวิชาชีพ เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่ แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง คือวิชาธรรมะ สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุข อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเราเคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด บางคนก็ตอบเงิน บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือ สุขภาพและชีวิต สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ และก็ชีวิตของเรา

-----------------------------------------